> Royal Academy of Fine Arts Antwerp
4 ปีที่ได้เรียน และใช้ชีวิตอยู่ที่ Antwerpเป็นประสบการณ์ที่คงไม่มีวันลืมโรงเรียนนี้เป็นที่ที่ได้สั่งสมพัฒนาทักษะ ความคิดที่ใช้ในงานแฟชั่นและเป็นช่วงเวลาที่เราได้หล่อหลอมอัตลักษณ์ของงานเราเอง Royal Academy ofFine Arts Antwerp จริงๆแล้วเป็นโรงเรียนศิลปะที่เปิด FashionDepartment ขึ้นมางานของนักเรียนที่นี่จึงมักมีกลิ่นอายของงานศิลปะไม่มากก็น้อย ทั้งในแง่ของผลลัพธ์หรือในกระบวนการทำงานของเขาสิ่งหนึ่งที่ชอบในการเรียนที่นี่คือนอกจากได้ทำงานแฟชั่นแล้วเรายังต้องสามารถถ่ายทอดความคิดของเราผ่านสื่อศิลปะอื่นๆควบคู่กันไปได้ด้วยการวาดรูปเป็นอะไรที่สำคัญมากตลอดการเรียนตั้งแต่ปี 1ถึงปี 4ห้องโถงในโรงเรียนจะติดงานวาดรูปของนักเรียนให้ดูอยู่ตลอดเวลาถ้าได้เห็นสเก็ตช์ของนักเรียนที่นี่จะเห็นได้ว่าแต่ละคนมีลายเส้นในการวาดที่เป็นเอกลักษณ์และเราถูกฝึกให้ถ่ายทอดเส้นสายเหล่านี้มาสู่เสื้อผ้าที่เราทำขึ้นมา
ด้วยความที่โรงเรียนมีนักเรียนเพียงแค่ร้อยกว่าคนทำให้เกิดเป็น community เล็กๆที่รักกันแน่นแฟ้นเราทุกคนหลงใหลในเรื่องแฟชั่น แต่ว่าทุกคนมีบุคลิกเป็นของตัวเอง เราได้แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆแลกเปลี่ยนความคิด และดึงเอาพลังงานจากซึ่งกันและกัน ในกลุ่มเพื่อนๆที่สนิทกันพวกเราทุกคนชอบแต่งตัวเพื่อไปไหนมาไหนทั้งกลางวันและกลางคืนนี่เป็นสิ่งที่คิดถึงเหมือนกันเมื่อกลับมาอยู่ไทยตรงนี้แหละที่สไตล์ของเราเองก็จะเติบโตไปพร้อมกับงานของเรา และจริงๆแง่มุมของการ “Dressedup” ก็สะท้อนอยู่ในเสื้อผ้าของโชนเหมือนกัน
> sketchbook
งานแฟชั่นก็เช่นเดียวกับงานศิลปะแขนงอื่นๆเป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ผ่านการ “มอง” และ การ “ทำ” กระบวนการ Research ในการทำคอลเลคชั่นเป็นทักษะสำคัญที่ได้เรียนมาเราได้หัดมอง แยกแยะ และสะสม aesthetic ที่ดึงดูด และจุดประกายเราทุกปีจะมีสมุดสเก็ตช์ที่เราเริ่มเอาภาพต่างๆที่สะสมมาจัดวาง ทำงานคอลลาจและสร้างเรื่องราวของคอลเลคชั่นที่เราต้องการจะถ่ายทอดในหน้ากระดาษเหล่านี้ก็เริ่มเห็นอัตลักษณ์ของเราก่อร่างขึ้นมาแล้ว และที่สำคัญเราเชื่อในเรื่องของการขยันทำผลงานออกมาเยอะๆลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองเมื่อเวลาผ่านไปเราจะเริ่มเรียนรู้ว่าจุดไหนดีหรือไม่ดีและอะไรที่แสดงถึงตัวเราจริงๆ
> star struck
ตอนเรียนมัธยมมีคนให้หนังสือเล่มหนึ่งมาเป็นหนังสือรวบรวมงานของดีไซเนอร์ต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ Dries Van Noten ตรงนั้นเองที่ทำให้ได้รู้จักเขาและ Royal Academy of Fine Arts Antwerp เป็นครั้งแรก และยังคงหลงใหลในผลงานของDries Van Noten อยู่จนทุกวันนี้งานของเขามีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนมาก เราชื่นชอบการใช้สี การใช้ลวดลายและการใช้ผ้าของเขา การดึงเอา reference ต่างๆมาผสมในคอลเลคชั่นได้อย่างแยบยลเสื้อผ้าของ Dries มีความโรแมนติคแต่อยู่ในพื้นฐานของความเป็นจริงDries Van Noten ประสบความสำเร็จมากในการออกแบบภาพของ wardrobeที่สมบูรณ์ เรามักจะรู้จักเขาจากชิ้นงานที่เป็นสีสันลวดลายหรือมีการประดับตกแต่งต่างๆ แต่ในทางกลับกันเสื้อผ้าที่เป็น core piece ของเขาก็โดดเด่นไม่แพ้กันคนที่ชื่นชอบ Dries Van Noten สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเสื้อผ้าของเขาได้จริงๆและนั่นเป็นสิ่งที่โชนนับถือเขามาก
โชนรู้สึกผูกพันกับ Dries Van Noten มากทางที่เดินไปโรงเรียนจะต้องผ่านร้าน flagship ของเขาทุกวันทุกๆปีปีละสองครั้ง Dries จะมีการจัด stock sale โล๊ะผ้าเก่าๆของแบรนด์นักเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะมาหาซื้อผ้าที่งานนี้ไปใช้ในคอลเลคชั่นของตนด้วยส่วนประสบการณ์โดยตรง ตอนเรียนปี 4 (Masters) จะมีวันหนึ่งที่ได้ไปทำworkshop ที่สตูดิโอของ Dries เรามีโอกาสได้พูดคุยกับDries ได้ฟังเขาพูดเรื่องชีวิตการทำงานการสร้างแบรนด์ของเขาขึ้นมา และเราได้เห็นการทำงานในแผนกต่างๆในบริษัทนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง และจำได้ว่าตัวเองคงรู้สึก star struck เล็กน้อยในวันนั้น
> new luxury
Luxury ทุกวันนี้ ควรจะเป็นนิยามที่พูดถึงความงามที่ให้คุณค่ากับผู้สร้างและศาสตร์ของการสร้างสิ่งต่างๆเหล่านั้น Luxury ไม่ได้หมายถึงแค่แบรนด์เนมใหญ่ๆอีกต่อไปเราเองให้คุณค่ากับความคิดที่อยู่เบื้องหลังผลงานต่างๆรวมไปถึงทักษะและเวลาของคนที่ทำเสื้อผ้าของเรา งานคราฟท์และภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นอะไรที่เราควรเชิดชูที่สำคัญภาพของ Luxury ควรจะสะท้อนความหลากหลายของผู้คน เพศ อายุรูปร่างในยุคปัจจุบัน
> SOI SA:M
โชนเปิดสตูดิโอ และโชว์รูม SOI SA:M ขึ้นมาเพื่อที่จะสร้างสเปซสำหรับจัดแสดงคอลเลคชั่นของSHONE PUIPIA เป็นสถานที่ที่คนสามารถมาสัมผัสงานได้แบบ immersiveเราจะเปลี่ยนโฉมห้องโชว์รูมและวิธีจัดแสดงสำหรับแต่ละคอลเลคชั่นเพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป90%ของการผลิตผลงานทุกอย่างเกิดขึ้นภายในสตูดิโอโดยทีมช่างเล็กๆของเราเองให้ความสำคัญกับงานตัดเย็บ และรายละเอียดในเสื้อผ้าเรายอมให้เวลากับสิ่งเหล่านี้มากกว่าการผลิตสินค้าออกมาจำนวนเยอะๆโชนจึงเลือกที่จะทำงานในรูปแบบของ made-to-order เป็นหลักเสื้อผ้าทุกชิ้นเราทำขึ้นเพื่อลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ เราสามารถปรับเปลี่ยนขนาดแก้ไขแพทเทินเพื่อให้เข้ากับลูกค้าแต่ละคนจริงๆ หลายครั้งการพูดคุยกันตัวต่อตัวแบบนี้ก็นำไปสู่การสร้างสรรค์ชิ้นงานที่ไม่ได้อยู่ในคอลเลคชั่นด้วยซ้ำสิ่งเหล่านี้เป็นความพิเศษที่โชนอยากมอบให้ทุกคนที่สนับสนุนผลงานของเรา
> collage
งานของโชนเสมือนงาน collage โดยดึงเอาองค์ประกอบจากศิลปะแขนงต่างๆที่เราสนใจอยู่ในขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ งานออกแบบ ภาพยนตร์ ประวัติศาสตร์แฟชั่นสไตล์ของผู้คนทั้งในอดีตและปัจจุบัน เหล่านี้ถูกสังเคราะห์และนำมาประกอบกันใหม่เป็นเรื่องราวที่เราต้องการจะสื่อในแต่ละคอลเลคชั่นบางครั้งบุคคลหนึ่งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของคอลเลคชั่น เช่นใน Cloudbusting(2020) ที่โชนเริ่มจากการออกแบบชุดการแสดงให้ Umaศิลปินนักร้องชาวไทย-อังกฤษบางครั้งอาจจะเป็นเรื่องราวของสีหนึ่งที่เราอยากใช้ในคอลเลคชั่นในปีนี้โชนให้ผ้าที่เราออกแบบเป็นตัวนำทิศทางของคอลเลคชั่น
จุดเด่นในงานของโชนผ่านการใช้สีสันการเล่นกับผ้าวัสดุ และโครงสร้างของเสื้อผ้านั้นก็จะมีอยู่เสมอมา เสื้อผ้าจะดู refinedขึ้นจากคอลเลคชั่นแรกๆ เราตั้งใจพัฒนาการตัดแพทเทินเสื้อผ้าให้เฉียบและแยบยลขึ้นในทุกคอลเลคชั่น ซึ่งเป็นงานที่ลงมือทำด้วยตนเอง ทุกวันนี้นอกจากคอลเลคชั่นหลักที่มีความสนุกสนานและexperimental มากหน่อย เราก็สร้างเสื้อผ้า corewardrobe ไปด้วยพร้อมๆกันชิ้นเหล่านี้เป็นอะไรที่โชนอยากให้สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวันและสามารถนำไปผสมกับชิ้นอื่นๆในคอลเลคชั่นได้เสื้อผ้าเหล่านี้เราจะสามารถผลิตออกมาได้เรื่อยๆและมีการอัพเดทสีและเนื้อผ้าใหม่ๆไปในแต่ละปี
> FEVER
Collection 2021 “FEVER” หัวใจหลักของคอลเลคชั่นนี้คือ collaborationโปรเจคที่ทำร่วมกับ OMT เป็นการออกแบบลายผ้าทอ jacquardทั้งหมด 28 ลายด้วยกัน
การที่แบรนด์เล็กๆอย่างโชนมีโอกาสได้ทอผ้าลายของตัวเองขึ้นมาใหม่ถึง28ลายเพื่อใช้สำหรับทำทั้งคอลเลคชั่นถือเป็นเรื่องที่หาโอกาสได้ไม่ง่ายนัก
OMT สร้างรูปแบบคอนเซปท์ใหม่ในการร่วมงานกับศิลปินและแบรนด์ต่างๆ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าเป็นการทำงานแบบใหม่ที่เรายังไม่เคยทำดูเป็นความท้าทายที่น่าสนุกดี ตัวเองก็ชื่นชอบกระบวนการออกแบบผ้าอยู่แล้ว
FEVER เป็นคอลเลคชั่นที่experimental และท้าท้ายมากชุดหนึ่ง ปกติโชนเองก็ใช้ printในงานอยู่บ่อยๆ แต่เรายังไม่เคยใช้ในปริมาณขนาดนี้มาก่อน 90%ของคอลเลคชั่นนี้คือใช้ผ้าทอของOMT หมดเลยตอนเริ่มโปรเจคนี้ทางเราเองมองงานนี้เหมือนงานออกแบบผ้า และลายผ้ามากกว่าโดยให้คอลเลคชั่นผ้านี้เล่าถึงอัตลักษณ์สำคัญต่างๆของแบรนด์ SHONE PUIPIA ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีศิลปะ handicrafts รวมไปถึง flora and fauna motif ที่เราชอบใช้เรามองย้อนกลับไปในงานชิ้นเก่าๆ ดึงเอาลายที่ชอบนำมาตีความใหม่หลายลายก็มาจากงานวาดภาพของโชนเองลายส่วนหนึ่งก็ได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งทอที่สะสมไว้ เช่นผ้าไหมลุนตยาอฉิกจากพม่าหรือลูกไม้เก่าจากสมัยที่อยู่เบลเยียม
โชนอยากให้คอลเลคชั่นนี้พูดถึงความคลุ้มคลั่งหลงใหลในด้านต่างๆของเสื้อผ้าและงานศิลปะของตัวเอง เราดึงเอาองค์ประกอบที่ปรากฏในอัตลักษณ์ของแบรนด์มาเล่นด้วยความสนุกสนานโชนมองว่าคอลเลคชั่นนี้เป็นการโต้ตอบต่อสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย เราแทบจะใช้เวลา 2ปีที่ผ่านมาอยู่กันแต่ในบ้าน หลายคนไม่ค่อยได้มีโอกาสแต่งตัวออกไปที่ไหนในขณะที่หลายๆแบรนด์หันมาทำเสื้อผ้าสบายๆสำหรับใส่อยู่บ้าน เราเองอยากที่จะทำคอลเลคชั่นที่ให้แรงบันดาลใจในการกลับมาแต่งตัวกับผู้คนสีสันที่จัดจ้าน การปะทะกันของลวดลาย ความสง่างามของรูปทรงคอลเลคชั่นนี้เกี่ยวกับเรื่องของความสนุกสนานในการแต่งตัวอีกครั้ง
> the continuum
ดีใจที่มีแพลทฟอร์ม E-Commerce ที่มีความdynamic แบบ The Continuum เกิดขึ้นมาในงานออกแบบมันมีเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังอยู่มากมายที่ไม่ค่อยได้ถูกถ่ายทอดให้ฟังการที่ The Continuum นำเสนอรูปแบบของ editorial ไปพร้อมกับการชอปปิ้งยิ่งเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้าต่างๆมากขึ้นไปอีก
> family influence
เราสามคนมีบุคลิกที่ต่างกันมากนะครับแต่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนต่างมีคือ passion ในงานของตัวเองสิ่งนี้เป็นอะไรที่โชนซึมซับมากจากทั้งคุณพ่อ และคุณแม่โดยตรงจริงๆเราไม่ได้เรียกสิ่งที่ทำอยู่ว่างาน แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรามากกว่าตรงนี้แหละที่เชื่อมโยงเราเข้าหากัน
จริงๆแล้วเป็นคนภายนอกหรือสื่อต่างๆเองนี่แหละที่พยายามจะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและตัวโชนและแบรนด์ของโชนเองตลอดเวลา
การที่สื่อให้ความสนใจและให้การตอบรับที่ดีกับแบรนด์ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วครับทำให้งานของเราเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
แต่โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้เอาประเด็นนี้มาเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานการสร้างผลงานที่ดีที่ขับเคลื่อนบทสนทนาของงานแฟชั่นเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับโชนมากกว่าเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ทุกคนเป็นศิลปินเราเคารพในงานและสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นธรรมดา
โชนว่าเราทั้งสามคนอาจจะไม่ชอบให้การจำกัดความงานของตนเองด้วยซ้ำ
SHONE PUIPIA ยังถือเป็นแบรนด์ใหม่มากและยังมีพื้นที่ให้เติบโตและพัฒนาอีกเยอะครับการสร้างทีมที่ดีที่สามารถเพิ่มศักยภาพของแบรนด์ได้ เป็นอะไรที่โชนคิดอยู่ตลอดเวลาทุกวันนี้รู้สึกว่าอยากจะสามารถแบ่งภาคตัวเองได้เพื่อจะได้ทำโปรเจคอะไรหลายๆอย่างมากกว่านี้แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานทุกอย่างด้วยตัวเองเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมากอันหนึ่งในขณะที่แบรนด์เติบโตไปโชนก็อยากจะหาความสมดุลระหว่างงานสร้างสรรค์และธุรกิจให้ได้อย่างลงตัว
เมื่อมีเวลาว่างๆเราอยากจะกลับไปสร้างอะไรที่เป็นเรื่องความงาม และความคิดสร้างสรรค์ล้วนๆ วาดภาพทำงานคอลลาจ ทำเสื้อผ้าประหลาดๆโดยไม่ต้องคิดถึงว่าใครจะใส่
และไม่หยุดที่จะตั้งคำถามเพื่อพัฒนางานของเราต่อไปอีกเรื่อยๆ
Shone Puipia